ลอกเปลือกเลือกแก่น


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
ชื่อผู้แต่ง นายแพทย์เทอดศักดิ์  เดชคง  ชื่อ ลอกเปลือก  เลือกแก่น  สถานที่พิมพ์  กรุงเทพฯ  พิมพ์ครั้งแรก : สำนักพิมพ์มติชน,  เมษายน  2542.   124 หน้า

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
       ยุคสมัยปัจจุบันช่างเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง จนหลายคนบอกว่าเราเป็น วิกฤตของมนุษย์ เรามีการปฏิรูปทางการเมืองจำได้รับรัฐธรรมนูญใหม่มีการปฏิรูปการศึกษาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม รวมไปถึงด้านเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา การสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม
       การเปลี่ยนแปลงเป็นลิ่งที่แน่นอนตามธรรมชาติ เมื่อไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ ในสภาวะเช่นนี้ย่อมก่อทุกข์ เกิดความไม่สบายทั้งกายและใจ ไม่แต่เท่านั้น สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตต่างก็ได้รับผลกระทบ ด้วยเวลาที่จำกัดไม่ถึงร้อยปี ด้วยกรอบบังคับทางร่างกายและจิตใจที่ขาดอิสระ  เต็มไปด้วยพันธนาการ ภารกิจของเราจึงมิใช่งานที่ง่ายดาย สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
       ผมพบว่า  แม้มนุษย์ถูกจำกัดด้วยกรอบต่างๆ แต่มันก็เป็นข้อดีที่ทำให้เกิดความทุกข์ ใช่แล้ว ความทุกข์เป็นสิ่งดีและจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเรามีความสามารถพิเศษ คิดปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดั่งใจ ก็ย่อมไม่ต้องขวนขวายพัฒนาควานรู้ต่างๆ ถ้าชีวิตเป็นนิรันดร เราคงไม่ต้องฝึกฝนออกกำลังกาย รับประทานอาหาร ถ้าสภาพเช่นนี้เกิดขึ้น มนุษย์ย่อมหยุดยั้งการเพิ่มเติมสติปัญญาของตน 
      พัฒนาตนเอง แก่นแท้ของมนุษย์
ชีวิตของคนเรานั้นเป็นเช่นไร  บางคนอาจตอบว่า เกิดมาเพื่อมีลูกหลานสืบสกุล เพื่อทำงานหาเงินมาใช้จ่าย บางคนอาจบอกว่า เกิดมาแล้วก็ต้องตายไป เข้าทำนองเป็นธรรมชาติที่เหมือนกับสิ่งอื่นๆ รอยตัวเรา อีกบ้างก็บอกว่าเพื่อบำเพ็ญบารมีไปสู่การหลุดพ้น นี่หมายความว่าชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกันน่ะหรือ
      เราอาจตอบคำถามได้ง่ายขึ้นถ้ามามองตัวเป้าหมายของชีวิตว่าคืออะไร
ผมเคยไปบรรยายที่ศูนย์พัฒนาชุมชนจังหวัดชลบุรี เป็นการบรรยายแก่พัฒนากรที่ไปทำงานอยู่ในจังหวัดและอำเภอต่างๆ คำถามที่ว่าแต่ละคนมีเป้าหมายของชีวิตเช่นไรได้ถูกตั้งขึ้น หลายคนบอกว่าต้องการตำแหน่งสูงสุดเท่าที่จะเป็นได้ บางคนต้องการความสุขในชีวิต แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า เป้าหมายต่างๆ ที่กล่าวมามักไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย เพราะเมื่อถามว่าถ้าบรรลุเป้าหมายตอนนี้จะพอใจไหม จะดิ้นรนกันต่อไปอีกไหม ทุกคนตอบว่าก็ต้องดำเนินต่อไป
       เป้าหมายสูงสุดน่าจะเป็นสิ่งที่เมื่อดำเนินไปถึงแล้วสมควรมีความพึงพอใจ ไม่มีความคิดดิ้นรนแสวงหาอีดต่อไป 
       ในทางพุทธน่าจะหมายถึงการบรรลุเป็นพุทธะ
       สิ่งที่น่าจะทำให้บรรลุถึงสิ่งนี้ได้คือปัญญา
       การจะมีปัญญาได้จะต้องมีกระบวนการฝึกฝนตนเอง
       ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่วถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่งว่า ต้องมีการศึกษา พัฒนา  เนื่องจากมนุษย์นั้นดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยสัญชาตณานน้อยมาก ต่างจากสัตว์ที่ไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากก็สามารถดำรงชีพได้
      ความทุกข์หรือภาวะบีบคั้น เป็นเสมือนตัวเร่งเร้าเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น
ทนฺโต เสฏโฐ มนุสเสสุ. 
ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ประเสริฐสุดเป็นผู้ที่ฝึกแล้ว
      กระบวนการในการพัฒนาตนเองนั้น ผู้รู้หลายท่านได้สรุปไว้ว่า เป็นเรื่องของ ไตรสิกขา  คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
       ศีล คือวินัย หรือกฎ ที่เป็นไปเพื่อสันติสุข เป็นการเน้นที่พฤติกรรมได้แก่ การพูด การกระทำ ว่าให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
     สำหรับการแก้ไขความขัดแย้ง เรารู้ว่าต้องมีการหาข้อมูลกับสมมุติบาน และลองแก้ไขปัญหา นี่เป็นมุมมองของวิธีการทางวิทยาศาสตร์เรื่องนี้คล้ายกับหลักทำที่เชื่อว่า อริยสัจ 4
   หากความเชื่อว่าโลกจะแตกทำให้คุณหันมามองตนเองว่า คุณเกิดมาทำไม เพื่ออะไร แล้วหันมาค้นคว้าคำตอบ หันมาประพฤติดีต่อตนเองและผู้อื่น ฝึกฝนพัฒนาทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการแปรวิกฤตมาเป็นโอกาส นี่อาจเป็นข้อดีที่แอบแฝงอยู่บ้าง เพราะคนเรานั้นมักคิดว่าชีวิตจะดำเนินตามเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด จึงใช้เวลาไปอย่างศูนย์เปล่าในสิ่งที่เป็นความสมมุติ
  
     สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง ข้อพ่อสอนไว้ “นิสัยแห่งความดี” ด้านต่างๆ  ดังนี้
1.ความเพียร เช่น  ผมเคยไปบรรยายที่ศูนย์พัฒนาชุมชนจังหวัดชลบุรี เป็นการบรรยายแก่พัฒนากรที่ไปทำงานอยู่ในจังหวัดและอำเภอต่างๆ คำถามที่ว่าแต่ละคนมีเป้าหมายของชีวิตเช่นไรได้ถูกตั้งขึ้น แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า เป้าหมายต่างๆ ที่กล่าวมามักไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย เพราะเมื่อถามว่าถ้าบรรลุเป้าหมายตอนนี้จะพอใจไหม จะดิ้นรนกันต่อไปอีกไหม ทุกคนตอบว่าก็ต้องดำเนินต่อไป
2.ความพอดี เช่น  เป้าหมายสูงสุดน่าจะเป็นสิ่งที่เมื่อดำเนินไปถึงแล้วสมควรมีความพึงพอใจ ไม่มีความคิดดิ้นรนแสวงหาอีดต่อไป
3.ความรู้ตน เช่น หากความเชื่อว่าโลกจะแตกทำให้คุณหันมามองตนเองว่า คุณเกิดมาทำไม เพื่ออะไร แล้วหันมาค้นคว้าคำตอบ หันมาประพฤติดีต่อตนเองและผู้อื่น ฝึกฝนพัฒนาทางจิตวิญญาณ 
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้  เช่น  ศีล คือวินัย หรือกฎ ที่เป็นไปเพื่อสันติสุข เป็นการเน้นที่พฤติกรรมได้แก่ การพูด การกระทำ ว่าให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ  เช่น    ความทุกข์หรือภาวะบีบคั้น เป็นเสมือนตัวเร่งเร้าเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น
6.พูดจริงทำจริง  เช่น ชีวิตของคนเรานั้นเป็นเช่นไร  บางคนอาจตอบว่า เกิดมาเพื่อมีลูกหลานสืบสกุล เพื่อทำงานหาเงินมาใช้จ่าย บางคนอาจบอกว่า เกิดมาแล้วก็ต้องตายไป เข้าทำนองเป็นธรรมชาติที่เหมือนกับสิ่งอื่นๆ รอยตัวเรา อีกบ้างก็บอกว่าเพื่อบำเพ็ญบารมีไปสู่การหลุดพ้น นี่หมายความว่าชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกันน่ะหรือ
7.หนังสือเป็นออมสิน เช่น ผมพบว่า  แม้มนุษย์ถูกจำกัดด้วยกรอบต่างๆ แต่มันก็เป็นข้อดีที่ทำให้เกิดความทุกข์ ใช่แล้ว ความทุกข์เป็นสิ่งดีและจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเรามีความสามารถพิเศษ คิดปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดั่งใจ ก็ย่อมไม่ต้องขวนขวายพัฒนาควานรู้ต่างๆ
8.ความซื่อสัตย์ เช่น  ถ้าชีวิตเป็นนิรันดร์ เราคงไม่ต้องฝึกฝนออกกำลังกาย รับประทานอาหาร ถ้าสภาพเช่นนี้เกิดขึ้น มนุษย์ย่อมหยุดยั้งการเพิ่มเติมสติปัญญาของตน 
9.การเอาชนะใจตน เช่น  การเปลี่ยนแปลงเป็นลิ่งที่แน่นอนตามธรรมชาติ เมื่อไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ ในสภาวะเช่นนี้ย่อมก่อทุกข์ เกิดความไม่สบายทั้งกายและใจ







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น