-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
ชื่อผู้แต่ง ชาตรี สำราญ ชื่อ เส้นทาง story line สู่การเรียนรู้ สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 1 กุมภาพันธุ์ : สำนักพิมพ์ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศื 152 หน้า
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ถ้าท่านให้ปลาแก่คนจน เขาจะมีปลากินเพียงวันเดียว ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต"
การสอนให้เด็กหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อเด้กมากกว่า เพราะเด็กจะใช้วิธีการคิดนั้นไปแก้ปัญหาในอนาคต ยุคนี้หมดสมัยแล้วที่จะยัดเยียดข้อมูลข่าวสารให้ศิษย์ท่องจำ เพราะข้อมูลที่ท่องจำจะล้าสมัย อาจจะทำให้คนไทยส่วนใหญ่ขาดคุณภาพไม่สามารถสร้างบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ผู้ที่กระตือรือร้นจะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ และส่งผลให้ผู้อยู่ใกล้เคียงกระตือรือร้นด้วย ผู้สอนจะมีกำลังใจสอน ในอนาคตผู้เรียนจะออกไปผจญชีวิตด้วยตนเอง และต้องสามารถพึ่งตนเองได้ ผู้เรียนจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ครูจึงต้องให้โอกาสแก่ผู้เรียน สามารถพึ่งตนเองได้ ภาระงานที่ผู้เรียนเรียนรู้จนสามารถนำมาเขียนรายงานผลการทดลองเป็นหนังสือเล่มเล็กนั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อการเรียน หน้าที่ของครูคือดูจุดเด่นของผลงานที่นักเรียนนำส่ง ดูผลการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนว่าสามารถพัฒนาเองขึ้นได้มากน้อยเพียงใด
ในบทที่ 3 ผมยกตัวอย่างการวิเคราะห์หลักสูตรและเม็ดงานที่นักเรียนสามารถเขียนส่งครูมาให้ดูแล้วนั้น เป็นการบูรณาการความรู้ของเด็กที่เรียนรู้แบบบูรณาการ แต่ผมยังไม่ได้ยกตัวอย่างการบูรณาการหลักสูตรที่เห็นว่า น่าจะทำอย่างไรบ้าง ในบทนี้จึงขอนำตัวอย่างที่ผมจัดทำมาให้เห็นเป็นเียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ในความจริงนั้น เมื่อเราฝึกจนชำนาญ หรือแตกฉานในเรื่องเหล่านี้ ขี้นตอนต่างๆ ก็จะค่อยๆลดท่อนลง เพราะเพียงแต่เห็นเรื่อง ก็นึกภาพการดำเนินกิจกรรมที่ต่อเนื่องได้ทั้งหมด
กรณีที่เด็กทำงานส่งครูครั้งแรกได้ข้อมูลน้อย ครูซักถามจนตี้องกลับไปหาข้อมูลใหม่ สังเกตใหม่นั้น จะกระตุ้นให้เด็กคิดวางแผนการเรียนรู้ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนรู้ พอเขาได้รับมอบหมายงาน เขาจะนั่งคิดกันก่อนว่า จะต้องทำอะไร ทำอย่างไร จึงจะได้ข้อมูลมากๆ เมื่อได้วิธีการสังเกตวิธีการเก็บข้อมูลแล้วเขาจึงจะปฏิบัติการได้ตรงเป้าหมายและทำไปๆ หลายๆ ครั้ง เขาก็จะรู้ทักษะการสังเกตมีอะไรบ้าง ต้องทำอะไรก่อนหลัง นี่แหละคือเรียนรู้ที่เด็กๆควรจะเรียนรู้และที่ครูควรจะเป็นผู้กำกับการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดได้ทำ
การเรียนรู้แบบ Story line เป็นการสอนวิธีหนึ่งที่ฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตจริง ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง รวมทั้งกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจว่าควรทำ ไม่ควรทำ ควรเชื่อ ไม่ควรเชื่อ อันจะนำไปสู่การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ตลอดจนการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งดีสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญด้วยการใช้หลักสูตรบูรณาการเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานได้ผลการเรียนรู้มีความคงทน เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง วิธีดังกล่าวเป็นผลการค้นพบของสตีฟ เบลล์ และแซลลี่ ฮาร์ดเนส (Steve Bell and Sally Hardness) นักการศึกษาชาวสก็อต ซึ่งสตีฟเบลล์ เรียกว่า การจัดการเรียนรู้ที่เป็นสตอรี่ไลน์ (Story line approach) และยังเรียกว่าวิธีสตอรี่ไลน์ (Story line method)ลักษณะเด่นของวิธีสอน
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
4) ปัญหาที่รอการแก้ไข
แนวคิดหลักของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline
ทิศนา แขมมณี (2546 : 54) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline นี้ พัฒนาโดย ดร.สตีฟ เบ็ล และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ โดยมีแนวคิดหลักของทฤษฎี ดังนี้
1.การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ หรือเป็นสหวิทยาการ คือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน
2.การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรง หรือ การกระทำ หรือ การมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง
3.ความคงทนของผลการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้รับความรู้มา
4.ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้ หากมีโอกาสลงมือกระทำ
ดารกา วรรณวนิช (2549 : 155) ได้กล่าวเพิ่มเติมแนวคิดของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline หรือที่เรียกว่า “การเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง” ไว้ ดังนี้
1.ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
2.การบูรณาการหลักสูตร องค์ความรู้ ทักษะการเรียน และกระบวนการเรียนรู้ จากหลากหลายสาขาวิชา มีลักษณะเป็นการเรียนแบบบูรณาการสหวิทยาการ
3.การเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์ต่างๆ
4.การเรียนรู้ผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co–operative learning)
5.การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในการเรียนรู้ของตนอย่างเต็มศักยภาพ
6.การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนมุ่งพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) และทักษะการตัดสินใจ (Decision making skill) ผ่านกิจกรรมต่างๆ
7.ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) องค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการค้นพบ (Discover) คำตอบ จากคำถามหลักที่ครูกำหนดขึ้น
8.การเชื่อมโยงองค์ความรู้และกระบวนการเรียนรู้จากห้องเรียนออกไปสู่ชุมชนและชีวิตจริงของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ สนุกสนาน มีชีวิตชีวา มีความสุข และตระหนักในคุณค่าของการจัดการเรียนรู้
กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี Storyline
ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline
1.ข้อดี
การเรียนรู้เช่นนี้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน ครูวางโครงเรื่อง ผู้เรียนลงรายละเอียดที่มาจากประสบการณ์ชีวิต แล้วสร้างการเรียนรู้ใหม่ที่เชื่อมต่อจากความรู้เดิม มีการแลกเปลี่ยนความคิดและเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน ผู้เรียนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในผลงานที่สร้าง และกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการแก้ปัญหา หากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ครูยังสามารถบูรณาการทุกวิชาได้ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อผู้เรียนมีความสุข จุดหมายของการเรียนรู้ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว
นักเรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
-กิจกรรมนี้อาจเหมาะกับเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต
-ค่อนข้างใช้เวลาในการเรียนรู้
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง 9 ข้อพ่อสอนไว้ “นิสัยแห่งความดี” ด้านต่างๆ ดังนี้
1.ความเพียร เช่น นักเรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน
ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
2.ความพอดี เช่น
ผู้ที่กระตือรือร้นจะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
และส่งผลให้ผู้อยู่ใกล้เคียงกระตือรือร้น
3.ความรู้ตน เช่น การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ หรือเป็นสหวิทยาการ
คือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ เช่น
การสอนให้เด็กหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อเด้กมากกว่า เพราะเด็กจะใช้วิธีการคิดนั้นไปแก้ปัญหาในอนาคต
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เช่น ยุคนี้หมดสมัยแล้วที่จะยัดเยียดข้อมูลข่าวสารให้ศิษย์ท่องจำ
เพราะข้อมูลที่ท่องจำจะล้าสมัย
อาจจะทำให้คนไทยส่วนใหญ่ขาดคุณภาพไม่สามารถสร้างบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
6.พูดจริงทำจริง เช่น
ผมยกตัวอย่างการวิเคราะห์หลักสูตรและเม็ดงานที่นักเรียนสามารถเขียนส่งครูมาให้ดูแล้วนั้น
เป็นการบูรณาการความรู้ของเด็กที่เรียนรู้แบบบูรณาการ
แต่ผมยังไม่ได้ยกตัวอย่างการบูรณาการหลักสูตรที่เห็นว่า น่าจะทำอย่างไรบ้าง
ในบทนี้จึงขอนำตัวอย่างที่ผมจัดทำมาให้เห็นเป็นเียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ในความจริงนั้น เมื่อเราฝึกจนชำนาญ หรือแตกฉานในเรื่องเหล่านี้
7.หนังสือเป็นออมสิน เช่น วิธีสอนแบบสตอรีไลน์
เป็นวิธีที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
จะมีการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
8.ความซื่อสัตย์ เช่น
กรณีที่เด็กทำงานส่งครูครั้งแรกได้ข้อมูลน้อย ครูซักถามจนตี้องกลับไปหาข้อมูลใหม่
สังเกตใหม่นั้น จะกระตุ้นให้เด็กคิดวางแผนการเรียนรู้ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนรู้
9.การเอาชนะใจตน เช่น การเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์ต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น