--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
ชื่อผู้แต่ง กองส่งเสริมการมีงานทำ. ชื่อ แนวการเลือกอาชีพและการเตรีนมตัวสมัครงานสถานที่พิมพ์กรมการจัดหางาน 2541.64หน้า
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนเรามีความถนัด ความสามารถ
และความสนใจในงานอาชีพแตกต่างกัน เนื่องจากอาชีพมีความสำคัญต่อมนุษย์มากมาย
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การเลือกประกอบอาชีพจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอันมาก
คนที่เลือกประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับตน ย่อมก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และก่อให้เกิดความสุขในการทำงาน
และยังมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพมาก
การเลือกอาชีพและสาขาวิชาที่จะศึกษา ให้เหมาะสมกับตัวเอง
โดยเน้นเรื่องของบุคลิกภาพที่ดี
อาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรม
การทำงาน การประกอบการที่ไม่เป็นโทษแก่สังคม และมีรายได้ตอบแทน โดยอาศัยแรงงาน
ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ แตกต่างกันไป
กลุ่มอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ มี 2 ลักษณะ คือ อาชีพอิสระ และอาชีพรับจ้าง
1. อาชีพอิสระ หมายถึง
อาชีพทุกประเภทที่ผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเอง
แต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นกลุ่ม อาชีพอิสระเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก
แต่หากมีความจำเป็นอาจมีการจ้างคนอื่นมาช่วยงานได้ เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน
และจำหน่ายเอง คิดและตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่อง ซึ่งช่วยให้การพัฒนางานอาชีพ
เป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอิสระ เช่น ขายอาหาร ขายของชำ
ซ่อมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการจะต้องมีความรู้
ความสามารถในเรื่อง การบริหาร การจัดการ เช่น การตลาด ทำเลที่ตั้ง เงินทุน
การตรวจสอบ และประเมินผล เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องมีความอดทนต่องานหนัก
ไม่ถ้อถอยต่อ ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์
และมองเห็นภาพการดำเนินงาน ของตนเองได้ทะลุปรุโปร่ง
2. อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้าง
ทำงานให้ และได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือเงินเดือน อาชีพรับจ้างประกอบด้วย
บุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งได้ตกลงว่าจ้างกัน บุคคลฝ่ายแรกเรียกว่า "นายจ้าง"
หรือผู้ว่าจ้าง
บุคคลฝ่ายหลังเรียกว่า "ลูกจ้าง" หรือผู้รับจ้าง
มีค่าตอบแทนที่ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ ผู้รับจ้างเรียกว่า "ค่าจ้าง"
การประกอบอาชีพรับจ้าง โดยทั่วไปมีลักษณะ เป็นการรับจ้างทำงานในสถาน
ประกอบการหรือโรงงาน เป็นการรับจ้างในลักษณะการขายแรงงาน โดยได้รับค่าตอบ
แทนเป็นเงินเดือน หรือค่าตอบแทนที่คิดตามชิ้นงานที่ทำได้
อัตราค่าจ้างขึ้นอยู่กับการกำหนด
ของเจ้าของสถานประกอบการ หรือนายจ้าง
การทำงานผู้รับจ้างจะทำอยู่ภายในโรงงาน ตามเวลาที่นายจ้างกำหนด การประกอบอาชีพรับจ้างในลักษณะนี้มีข้อดีคือ
ไม่ต้องเสี่ยง กับการลงทุน เพราะลูกจ้างจะใช้เครื่องมือ
อุปกรณ์ที่นายจ้างจัดไว้ให้ทำงานตามที่นายจ้าง
กำหนด แต่มีข้อเสีย คือ มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำ ๆ เหมือนกันทุกวัน
และต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของนายจ้าง ในการประกอบอาชีพรับจ้างนั้น
มีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบอาชีพ รับจ้างมีความเจริญก้าวหน้าได้
เช่น ความรู้ ความชำนาญในงาน มีนิสัยการทำงานที่ดี มีความกระตือรือร้น มานะ อดทน
ในการทำงาน ยอมรับกฎเกณฑ์และเชื่อฟังคำสั่ง มีความซื่อสัตย์ สุจริต
ความขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี รวมทั้ง สุขภาพอนามัยที่ดี
อาชีพต่าง ๆ ในโลกมีมากมาย หลากหลายอาชีพ ซึ่งบุคคลสามารถจะเลือกประกอบ
อาชีพได้ตามความถนัด ความต้องการ ความชอบ และความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ประเภทใด
จะเป็นอาชีพอิสระ หรืออาชีพรับจ้าง ถ้าหากเป็นอาชีพที่สุจริตย่อมจะทำให้
เกิดรายได้มาสู่ตนเอง และครอบครัว ถ้าบุคคลผู้นั้นมีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน ตลอดจน
มีความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ จะทำให้มองเห็นโอกาสในการเข้าสู่อาชีพ
และพัฒนา อาชีพใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ
การเตรียมความพร้อมในการสมัครงาน
การสมัครงานเหมือนกับการไปเสนอขายสินค้าซึ่งจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้ดี
และการเตรียมตัวก่อนสมัครงานเป็นสิ่งจำเป็น จะต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา
ซึ่งในแต่ละปี แต่ละสถาบันจะมีผู้จบการศึกษาทั่วประเทศ รวมกันแล้วประมาณแสน ๆ คน
และรวมกับผู้ที่ตกค้างจากปีก่อน ๆ ที่ยังไม่ได้งานทำมีอีกมาก
และความเชื่อที่ว่าเรียนเก่งหรือเรียนดีแล้วจะหางานง่ายนั้นอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป
ซึ่งในยุคปัจจุบันการรับคนเข้าทำงานในทุกวันนี้จะพิจารณาสิ่งอื่น ๆ ประกอบด้วย
เช่น บุคลิกภาพ ความคล่องตัว ความอดทน ความเป็นคนมี ปฏิภาณ ไหวพริบ เป็นต้น การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ
ในการหางานทำหรือสมัครงาน จึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีและควรทำ เข้าทำนองที่ว่า
"ฟอร์มดี มีชัยไปกว่าครึ่ง"
ซึ่งการไปหางานหรือการไปสมัครงานเปรียบเสมือนกับคุณเป็นเซลล์แมน หรือเซลล์วูแมน
ที่จำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมในการสมัครงาน โดยคุณจำเป็นจะต้องมีเทคนิค
วิธีการต่างๆ ที่ทำให้ผู้ซื้อสินค้า (นายจ้าง) พร้อมที่อยากจะได้สินค้า (ตัวคุณ)
เอาไว้ ถ้าคุณทำได้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในการหางานทำมีมาก
ดังนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์ว่า
"ตกงาน" ก่อนหางานทำ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
1. ค้นพบตัวเองให้ชัดเจน
2. ติดตามข่าวสาร
3. การมองหาแหล่งงาน
4. การเขียนเอกสารประวัติย่อ เช่น Resume, จดหมายสมัครงาน, การเขียนใบสมัคร
5. การสัมภาษณ์
ซึ่งเมื่อคุณทราบในประเด็นหัวข้อใหญ่ๆ
แล้วเรามาดูในแต่ละหัวข้อมีวิธีการเทคนิคอย่างไรบ้าง
1. ค้นพบตนเองให้ชัดเจน
ทำไมจึงต้องมีการรู้จักตนเอง
ก็เพราะการหางานคือการ "ขาย" ตนเองชนิดหนึ่ง เป็นการเสนอขายความรู้ ความ
สามารถของตัวเราเองให้แก่บริษัทหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งนั่นเอง
ใครขายเก่งหรือมีศิลปะในการขาย สามารถทำให้ผู้ซื้อเกิดความรู้สึกอยากได้
"สินค้า" ชนิดนี้ก็จะได้งานไปทำแต่การที่จะขายของอะไรได้นั้น
เราจำเป็นจะต้องรู้คุณภาพสินค้าเสียก่อน (รู้จักตัวเราเอง) เราจึงจะขายให้ใครเขา
ได้ ถ้าเราไม่รู้แม้กระทั่งสินค้านั้นมีคุณภาพอย่างไร มีจุดเด่นอะไร อยู่ตรงไหน
ใช้แล้วได้ประโยชน์อะไร ใครเขาจะมาซื้อ (นายจ้าง) ดังนั้น การสมัครงานก็เช่นกัน ถ้าคุณไม่รู้แม้กระทั่งว่าในตัวคุณมีจุดเด่น
ความรู้ ความสามารถ ฯลฯ หรือพูดง่าย ๆ ว่าคุณเก่งทางด้านไหน และคุณจะไปโน้มน้าว ให้คนอื่นเขามาชื่นชมและต้องการคุณได้อย่างไร
ขั้นตอนแห่งค้นพบตัวเอง
1. การค้นหาทักษะ (Skills)
เป็นความสามารถที่ต้องมีและเป็นรากฐานในการทำงานทุกชนิด
ไม่มีงานชนิดไหนที่ไม่ต้องใช้ทักษะ โดยทักษะจะแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ
(1) ทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้
เช่น ทักษะในการขับรถ พูดภาษาต่างประเทศ
(2) ทักษะที่ติดตัวที่ติดตัวเรามาและสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
เช่น การวาดรูป ร้องเพลง
(3) ทักษะที่ได้จากสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นบ้าน
ที่ทำงาน โรงเรียน เช่น ทักษะการเข้ากลุ่มเพื่อน ทักษะการเป็นผู้นำ ซึ่งในงานแต่ละชนิดเมื่อจำแนกหน้าที่ของงานออกแล้วจะต้องประกอบด้วยกิจกรรมหลายอย่าง
ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็จะประกอบไปด้วยทักษะมากมาย เช่น อาชีพครู
มีกิจกรรมทางด้านการสอน บริหาร ค้นคว้า ทักษะมีทั้งการพูด การออกคำสั่ง การฟัง
การแสดงออก และการเขียน เป็นต้น
2. การสำรวจจุดเด่นของตนเอง
จุดเด่นของคุณมีผลต่อการหางานมากพอๆ
กับทักษะ จุดเด่นนี้เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพที่ทุกคนมี
งานทุกชนิดต้องการคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เด่นเป็นเฉพาะ เช่น งานประชาสัมพันธ์
คุณควรมีบุคลิกภาพที่เข้ากับคนง่าย รู้จักจัดการเกี่ยวกับคน หรือพนักงานบัญชี
คุณก็ควรมีบุคลิกภาพที่ละเอียดรอบคอบ เป็นต้น
3. สำรวจความสัมฤทธิ์ผลทั่วไป
ความสัมฤทธิ์ผลนี้คือ
เป็นความรู้สึกประทับใจความสำเร็จไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ๆ ก็ตาม
โดยให้นึกถึงสิ่งที่คุณทำแล้วสำเร็จ และประทับใจเหล่านั้นมาสัก 4 -
5 เรื่อง
และเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นผลสัมฤทธิ์ของคุณ
และนำมาเขียนเป็นผลสรุปของคุณเก็บไว้เป็นข้อมูลไว้เป็นองค์ประกอบในการสมัครงานด้านหนึ่ง
4. สำรวจความชอบ
/ ไม่ชอบ
เป็นขั้นตอนของการลองกลับไปคิดทบทวนใหม่อีกครั้งถึงประสบการณ์สมัยอยู่โรงเรียน
หรือมหาวิทยาลัย หรือช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอะไรที่เกิดขึ้นในช่วงเหล่านั้น
ที่คุณชอบและไม่ชอบใจบ้างไหม เช่น คุณอาจจะจำครูที่ดุอย่างขาดเหตุผล
คุณแม่ที่เคร่งครัดและเจ้าระเบียบ เพื่อนที่เจ้าอารมณ์ ขอให้จำบุคลิกลักษณะของบุคคลที่คุณไม่ชอบนี้ไว้ด้วย
คุณจะได้รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่คุณอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข
5. สำรวจขีดจำกัด
คนเราทุกคนไม่มีความสมบูรณ์ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง
ทุกคนต้องมีข้อบกพร่อง
ซึ่งมันอาจเป็นจุดอ่อนที่ยังแฝงอยู่ในบุคลิกภาพของคุณในปัจจุบัน
จุดอ่อนที่จะเป็นตัวขัดขวางทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
โดยคุณจะต้องพยายามทำความรู้จักกับทุกส่วนของบุคลิกคุณอย่างแท้จริง
และนำมาเป็นจุดแก้ไข ปรับปรุง หรือเป็นข้อควรระวัง
เพื่อคุณจะไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ เช่น คุณอาจเป็นคนที่มีความคิดอ่านที่ดีสมัยอยู่โรงเรียนมัธยม
แต่คุณมักไม่กล้าแสดงตัวหรือแสดงความคิดเห็นให้ปรากฏ
ทำให้คนอื่นรับหน้าที่แทนคุณไป แสดงว่าคุณมีจุดอ่อน คือ ขาดความกล้า
หรือไม่มีลักษณะเป็นผู้นำ คุณก็นำข้อนี้ไปปรับปรุงและพัฒนา
หรือถ้าไม่ไหวจะเป็นผู้นำก็ต้องหางานในตำแหน่งที่ไม่ต้องแสดงความเป็นผู้นำ
ดังกล่าว
6. สำรวจค่านิยม
ค่านิยม
คือสิ่งที่เรายึดถือว่า ดี งาม สมควรปฏิบัติ เช่น ค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์
ความมั่นคง ความปลอดภัย ความเสียสละ ซึ่งถ้าคุณคิดเพียงว่าแต่ขอให้ได้งาน
โดยไม่ตระหนักถึงค่านิยมของตัวเองและธรรมชาติของงาน
การทำงานนั้นก็จะไม่ได้รับความสุขกับการทำงาน และทำให้ต้องเข้า ๆ ออก ๆ หางาน
ใหม่อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นการรู้จักค่านิยมของตัวเองจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกด้านหนึ่งในการทำงานเพื่อความสุขของชีวิต
7. สำรวจความสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลอื่น
การทำงานทุกชนิดต้องสัมพันธ์กับคน
จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละตำแหน่งงาน
ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องเข้าใจคือเราต้องอยู่กับคนไปตลอดชีวิต การ
เข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน
และทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ
8. สำรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่นี้ก็คือ
สถานที่ตั้งของหน่วยงาน เช่น ใกล้ - ไกล การคมนาคม ต่างจังหวัด หรือกรุงเทพฯ
สภาพมลภาวะต่างๆ ลักษณะงาน
ซึ่งคุณจะต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับความต้องการให้เข้ากับสิ่งที่คุณได้ตามสมควร
9. ความต้องการเกี่ยวกับเงินเดือน
ไม่ว่าตัวผู้สมัครงานจะมีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ก็ตาม
การเรียกร้องเงินเดือนเท่าใดนั้น คุณควรจะต้องไปทำการค้นคว้าว่าโดยทั่ว ๆ ไป
บุคคลที่จบการศึกษาระดับเดียวกันกับคุณหรือผู้ที่ทางบริษัทที่รับเข้ามาในตำแหน่งที่คล้ายกับที่คุณสมัครนั้นเขาได้รับเงินเดือนประมาณเท่าใด
ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าเป็นงานราชการเงินเดือนจะต้องเป็นไปตามวุฒิที่ทางการกำหนด
ไม่มีการต่อรอง
แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการจ่ายเงินที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับขนาด
ความมั่นคงของบริษัท และระบบการบริหารของบริษัท
2. การติดตามข่าวสาร
สิ่งที่คนหางานจะต้องตระหนักก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ
คุณจะต้องมีความกระตือรือร้นขวนขวายหาข่าวสารด้วยความสนใจอย่างจริงจัง
เพราะช่วงเวลาของการโฆษณารับสมัครงานของแต่ละองค์กรล้วนมีระยะเวลาจำกัด บางองค์กรก็จะระบุวันหมดเขตรับสมัครเอาไว้
ทำให้เมื่อวันเวลาผ่านไปโอกาสในการสมัครงานแล้วได้รับการคัดเลือกไปสัมภาษณ์ย่อมน้อยลงด้วย
เนื่องจากในแต่ละปีมีบัณฑิตจบใหม่จากสถานศึกษาที่ผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องขวนขวายที่จะหาข้อมูลข่าวสารการรับสมัครงานให้มากที่สุด
เมื่อคุณได้ข่าวสารการรับสมัครงานและคุณสมบัติครบถ้วนที่จะสมัครได้
รวมทั้งคุณพอใจที่จะทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ
คุณก็ควรจะสมัครให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรีรอทั้ง ๆ
ที่คุณ มีความพร้อมในเรื่องเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการสมัครงานตามที่ระบุไว้
ตรงกันข้ามกลับเป็นผลดีกับตัวคุณเสียอีก
เพราะองค์กรที่รับสมัครงานจะเห็นความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และความต้องการ
ทำงานของคุณอย่างชัดเจน
ส่งผลให้ผู้รับสมัครพึงพอใจที่คุณให้ความสนใจกับองค์กรนั้นมากกว่าผู้สมัครรายอื่น
ๆ ที่รอจนเกือบหมดเขตรับสมัครแล้วจึงค่อยไปสมัคร
นอกจากนั้นการส่งใบสมัครไปตั้งแต่เนิ่น ๆ
ทำให้คุณมีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นในกรณีที่คุณส่งใบสมัครไปทางไปรษณีย์แล้วเกิดความล่าช้าก็อาจเป็นไปได้ว่า
ใบสมัครงานหรือจดหมายสมัครงานของคุณไปถึงที่หมายภายหลังหมดเขครับสมัครงาน โอกาสที่คุณจะได้งานก็จะลดลงตามไปด้วย คุณทราบหรือไม่ว่ามีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการสมัครงานแนะนำว่า
คนเราถ้าทำงานออฟฟิศเราจะต้องใช้เวลาทำงานอยู่ในออฟฟิศถึงวันละ 7 -
8 ชั่วโมง
เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะสมัครงานด้วยจดหมายสมัครงาน หรือกรอกแบบฟอร์มการสมัครงานและส่งใบสมัครงานให้ได้อย่างน้อยชั่วโมงละ 1 ราย
หรือวันละ 7 - 8 ราย
ในตำแหน่งงานที่คุณมีคุณสมบัติครบถ้วน และมั่นใจว่าคุณพอใจจะทำงานในตำแหน่งนั้นๆ
ถ้าคุณได้รับการคัดเลือก
ถ้าทำแบบนี้ได้
โอกาสที่จะได้งานของคุณย่อมมีสูงกว่าคนที่สมัครงานนาน ๆ ครั้งหนึ่ง
แล้วก็คอยอยู่เฉยๆ จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีหวังเสียแล้วจึงค่อยลุกขึ้น
แสวงหาข่าวสารรับสมัครงาน แล้วก็เริ่มหาหลักฐานใหม่
ส่งใบสมัครหรือจดหมายสมัครงานไปอีกครั้งแล้วก็รอคอยการเรียกไปสัมภาษณ์
คุณจะต้องไม่ลืมว่าคู่แข่งของคุณมีมากขึ้นทุกวัน แม้แต่วันเดียวก็เถอะถ้าคิดเป็นชั่วโมงอีกล่ะ
และอย่าลืมว่าคู่แข่งขันของคุณจำนวนมากมีคุณสมบัติทุกอย่างเหมือนที่คุณมีตามเอกสารหลักฐานด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นในระหว่างที่กำลังหางานทำ
คุณจึงควรมีเอกสารที่ใช้สำหรับการสมัครงานไว้ให้พร้อมและทำสำเนาเอาไว้หลายชุดจะได้ไม่ต้องเสีย
เวลาหา หลักฐาน ถ้าใครขยันแสวงหาแหล่งรับสมัครงานได้มากกว่าคนอื่น ๆ
เอาแค่ขยันสมัครงานได้วันละ 4 - 5 แห่งเท่านั้น
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ในการ หางานของคุณก็มีมากยิ่งขึ้น
3. มองหาแหล่งงาน
โดยทั่ว
ๆ ไป หนทางที่จะเริ่มมองหาแหล่งงานได้นั้นมีหลายวิธี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่สื่อมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ที่คุณจะหาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์กรที่เปิดรับสมัครงาน
ซึ่งคุณอาจจะเลือกดูได้จากแหล่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ
1. สื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์
เป็นสื่อที่คนต้องการหางานทำมักจะมองหาเป็นอันดับแรก
โดยสื่อดังกล่าวอาจจะมาในรูปของนิตยสารรายสัปดาห์ที่ลงข่าวสารเกี่ยวกับการรับสมัครงานโดยเฉพาะ
เช่น นิตยสารงานวันนี้ Smart Job หางานหาง่าย
หรือมาในรูปของหนังสือพิมพ์ที่ลงโฆษณารับสมัครงานโดยเฉพาะ เช่น
หนังสือพิมพ์แหล่งงาน งานทั่วไทย นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบของ Section
Classified ที่แทรกอยู่ในหนังสือพิมพ์รายวัน เช่น
โลกวันนี้ The Nation Bangkok Post เป็นต้น
โดยสื่อเหล่านี้จะมีข่าวสารเกี่ยวกับการ เปิดรับสมัครงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ซึ่งนอกจากโฆษณา รับสมัครงานแล้ว ยังมีบทความต่างๆ
ที่ให้ความรู้เกี่ยวข้องกับการสมัครงานที่น่าสนใจอีกด้วย เรียกว่าถ้าคุณต้อง
การหางานล่ะก็สื่อสิ่งพิมพ์มีประโยชน์ต่อคุณมากทีเดียว
2. สื่ออินเตอร์เน็ต
ในโลกยุคปัจจุบัน
สื่ออินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการหางาน
โดยผู้สมัครงานสามารถเข้าไปค้นหาตำแหน่งงานที่ต้องการได้ จากเว็บไซต์หางานต่าง ๆ
ที่มีอยู่มากมาย นอกจากจะได้ปริมาณตำแหน่งงานที่มากแล้ว
เว็บไซต์เหล่านี้ยังให้ประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น
มีบทความเกี่ยวกับเทคนิคการสมัครงาน มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนใบสมัคร และ Resume แถมยังส่งใบสมัครและ Resume ไปให้กับองค์กรทางอีเมล์ได้ทันทีอีกด้วย
นับว่าเป็นวิธีการที่สะดวกและได้ผลดีไม่แพ้วิธีการอื่นเลย
แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างว่าในประเทศไทยนั้น สื่ออินเตอร์เน็ตยังไม่ใช่สื่อหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
การสมัครงานทางเว็บไซต์นั้นจึงมีข้อจำกัดที่ว่าข้อมูลของคุณอาจไปไม่ถึงผู้รับสมัคร
เพราะว่าบางบริษัทแม้ว่าจะลงรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต
แต่อาจจะไม่ได้นำข้อมูลของผู้ที่สมัครงานทางอินเตอร์เน็ตมาพิจารณา หรือบางครั้งก็มีความผิดพลาดทางเทคนิค
ทำให้ใบสมัครของคุณไม่สามารถส่งไปถึงผู้รับปลายทางได้
แต่อย่างไรก็ดีสื่ออินเตอร์เน็ตก็ถือเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์อย่างมากในยุคปัจจุบัน
เราจึงได้รวบรวมเว็บไซด์เหล่านั้นไว้ให้คุณเพื่อเป็นอีกช่องทางในการสมัครงานของคุณ
3. ติดต่อผ่านทางสำนักงานจัดหางาน
ซึ่งมีวิธีการสมัครงานทั้ง 2 แบบ
คือ
- แบบตั้งรับอยู่ที่สำนักงาน
โดยมีตำแหน่งงานว่างไว้ให้ดูหรือลงทะเบียนไว้
พร้อมทั้งมีนายจ้างมาขอคัดรายชื่อและเรียกตัวสัมภาษณ์ในภายหลัง
- แบบเชิงรุกนอกสถานที่ โดยมีการจัด
"วันนัดพบแรงงาน" ซึ่งข้อดีของการจัดวันนัดพบแรงงาน คือ
คุณสามารถยื่นใบสมัครได้กับนายจ้างโดยตรงและมีการสัมภาษณ์พูดคุย ศึกษา บุคลิกภาพและความสามารถของคุณ
ทำให้คุณสามารถแสดงคุณสมบัติของคุณได้เต็มที่
ทำให้คุณมีโอกาสได้งานที่เร็วกว่าวิธีอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถใช้บริการของกรมการจัดหางานได้ทั่วประเทศ
โดยในกรุงเทพฯ มีที่ส่วนกลาง E-Job Center และ 10 เขตพื้นที่บริการให้กับคุณ
ส่วนต่างจังหวัดติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ
4. หน่วยจัดหางานของมหาวิทยาลัย
แทบทุกมหาวิทยาลัย
จะมีหน่วยงานจัดหางานที่สังกัดอยู่ในกองกิจการนิสิต นักศึกษา
ซึ่งหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางหาแหล่งงานให้นิสิต
นักศึกษาทั้งในระหว่างฤดูร้อน และเมื่อสำเร็จการศึกษา
5. สำนักงาน
ก.พ. สำหรับคุณซึ่งมุ่งเข็มมาว่าจะเป็นข้าราชการ
6. ถามจากญาติสนิทมิตรสหาย คุณต้องประกาศให้พี่น้องญาติมิตรเพื่อนฝูงทุกคนรู้ให้ทั่วไปว่า "คุณกำลังต้องการงาน"
และถ้าเขารู้ว่าที่ไหนกำลังเปิดรับสมัคร เขาก็จะได้แจ้งให้คุณทราบโดยด่วน
7. WALK
IN
คือ
การเข้าไปสมัครงานในองค์การที่คุณสนใจโดยตรง โดยไม่สนใจว่าองค์กรนั้นจะเปิดรับพนักงานหรือไม่
วิธีการนี้อาจเป็นทางเลือกที่ใช้ได้ในบางโอกาส
ในกรณีที่คุณมีความต้องการทำงานในองค์กรนั้นจริง ๆ เพราะว่าองค์กรนั้นมีชื่อเสียง
มีความมั่นคง สวัสดิการดี หรือคุณเป็นคนที่มีโอกาสเลือกงานได้มากกว่าคนอื่น
เพราะไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าใบสมัครของคุณอาจจะไม่ได้รับการพิจารณา
ถ้าองค์กรนั้น ๆ มีนโยบายที่จะไม่รับคนในตำแหน่งที่คุณสมัครเป็นเวลานาน
แต่ก็มีข้อดีคือถ้าคุณได้รับคัดเลือกให้มาสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์งานแล้วคุณผ่านการพิจารณา
คุณก็จะได้ทำงานในตำแหน่งและองค์กรที่คุณต้องการจริง ๆ แต่การ WALK
IN นี้ในความเป็นจริงอาจเป็นทางเลือกที่ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง 9 ข้อพ่อสอนไว้
“นิสัยแห่งความดี” ด้านต่างๆ
ดังนี้
1.ความเพียร เช่น ในแต่ละปีมีบัณฑิตจบใหม่จากสถานศึกษาที่ผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องขวนขวายที่จะหาข้อมูลข่าวสารการรับสมัครงานให้มากที่สุด
2.ความพอดี เช่น คนเราทุกคนไม่มีความสมบูรณ์ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง
ทุกคนต้องมีข้อบกพร่อง
ซึ่งมันอาจเป็นจุดอ่อนที่ยังแฝงอยู่ในบุคลิกภาพของคุณในปัจจุบัน
3.ความรู้ตน เช่น คนที่เลือกประกอบอาชีพที่เหมาะสมกัยตน
ย่อมก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และก่อให้เกิดความสุขในการทำงาน
และยังมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพมาก
การเลือกอาชีพและสาขาวิชาที่จะศึกษา ให้เหมาะสมกับตัวเอง
โดยเน้นเรื่องของบุคลิกภาพที่ดี
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ เช่น
ใช้ความสามารถของเราที่เรามี ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และทำเพื่อส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เช่น ในการหางานทำหรือสมัครงาน
จึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีและควรทำ เข้าทำนองที่ว่า "ฟอร์มดี
มีชัยไปกว่าครึ่ง" ซึ่งการไปหางานหรือการไปสมัครงานเปรียบเสมือนกับคุณเป็นเซลล์แมน
หรือเซลล์วูแมน ที่จำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมในการสมัครงาน
6.พูดจริงทำจริง เช่น
การประกอบอาชีพทุกอาชีพสิ่งที่ควรมีก็คือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ
7.หนังสือเป็นออมสิน เช่น คุณจะต้องมีความกระตือรือร้นขวนขวายหาข่าวสารด้วยความสนใจอย่างจริงจัง
เพราะช่วงเวลาของการโฆษณารับสมัครงานของแต่ละองค์กรล้วนมีระยะเวลาจำกัด
บางองค์กรก็จะระบุวันหมดเขตรับสมัครเอาไว้
ทำให้เมื่อวันเวลาผ่านไปโอกาสในการสมัครงานแล้วได้รับการคัดเลือกไปสัมภาษณ์ย่อมน้อยลงด้วย
8.ความซื่อสัตย์ เช่น การประกอบอาชีพรับจ้าง
ก็ต้องมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อเจ้านายหรือนายจ้าง
9.การเอาชนะใจตน เช่น คนที่เลือกประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับตน
ย่อมก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และก่อให้เกิดความสุขในการทำงาน และยังมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพมาก
การเลือกอาชีพและสาขาวิชาที่จะศึกษา ให้เหมาะสมกับตัวเอง
โดยเน้นเรื่องของบุคลิกภาพที่ดี

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น