--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผลิตโดย : นิตยสาร “คลังสมอง”
บริษัท มีเดียโฟกัส จำกัด
146/70 ซอยศรีนคร สุขุมวิท 71 กทม. 10110
โทร. 391-7955
พิมพ์ที่ : บริษัท สารมวลชน จำกัด
โทร. 391-6510
สงวนลิขสิทธิ์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตามตามที่เข้าใจกันอยู่ทั่วไป
คนที่มีมันสมองดีหรือที่เราชอบเรียกกันว่า “หัวดี”
นั้น คือคนที่คิดอะไรได้รวดเร็ว จนมีชื่อเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “หัวแล่น” “หัววิ่ง” และอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง
ความจริง
การที่คิดอะไรได้รวดเร็วก็เป็นลักษณะของมันสมองที่ดี
แต่ความคิดรวดเร็วนั้นยังไม่พอ
เพราะคนที่คิดเร็วแต่คิดผิดก็มีมาก หรือคนที่คิดเร็วและถูกด้วย
แต่ความคิดเหล่านั้นก็กลายเป็นความฝัน
ไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้ตามที่คิดก็มี
ฉะนั้น
คนที่เรายอมให้ว่าเป็นผู้มีมันสมองดีจริงนั้นจะต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ
1.คิดเร็ว
2.คิดถูก
3.ตนเองทำได้สำเร็จตามความคิดนั้นด้วย
เราคงจะสังเกตเห็นได้ว่า
ในบางครั้งความคิดของเราเดินรวดเร็วแต่งหนังสือหรือพูดจาได้คล่องแคล่ว
ซึ่งในเวลาที่แต่งหรือพูดนั้น เรารู้สึกว่าดีวิเศษและถูกต้องไปทั้งสิ้น
แต่ครั้นภายหลังเมื่อกลับมาตรึกตรองดู หรือเมื่อมีใครมาสะกิดเราเข้าแล้ว
จึงรู้สึกว่าเราผิดห้าแต้มไปเป็นอันมาก
แต่บางคน ( โดยมากมักเป็นพวกนักการเมือง) พูดหรือเขียนหนังสือได้คล่องแคล่ว
แสดงความเห็นอย่างมีหลักฐาน จนไม่มีใครสามารถคัดค้านให้พ่ายแพ้ไปได้
บางครั้งทำให้คนทั้งหลายเชื่อไปว่าความเห็นของท่านผู้นั้นประเสริฐสุด
ซึ่งถ้าทำตามเข้าแล้วโลกนี้ก็จะกลายเป็นเมืองสวรรค์ แต่ถึงคราวที่จะทำเข้าจริงๆ
แล้วก็หาสำเร็จไปตามนั้นไม่ ได้
ความคิดเห็นที่ว่านั้นเลยต้องถูกทิ้งลงถังขยะมูลฝอย เรื่อยชนิดนี้มีอยู่เสมอ
เช่นในประเทศที่ปกครองโดยมีรัฐสภา
บุคคลคนหนึ่งขึ้นไปพูดติเตียนวิธีดำเนินการของรัฐบาลว่าเลวทราม
และแสดงความคิดเห็นอันประเสริฐของตนจนรัฐสภาทั้งอันพากันชื่อ
ถอดคณะเสนาบดีเก่าออกเสีย ตั้งคนคนนั้นขึ้นมาเป็นอัครมหาเสนาบดี
และควบคุมคณะเสนาบดีที่ตนจัดตั้งขึ้นเอง พอนโยบาย
ที่ตนคิดว่าประเสริฐที่สุดนั้นต่อรัฐสภา รัฐสภาลงมติเห็นชอบแสดงความไว้ใจ
ให้ดำเนินการตามเห็นที่ตนเสมอ แต่พอเวลาล่วงไปไม่นานนัก
ก็เกิดความรู้สึกกันขึ้นว่า จะทำให้สำเร็จไปตามนั้นไม่ได้เสียแล้ว
คราวนี้รัฐสภาก็กลับลงมติแสดงความไม่ไว้ใจ เลย
ท่านอัครมหาเสนาบดีที่เพิ่งเป็นใหม่ๆ ก็ลาออก
เรื่องชนิดเป็นเหตุการณ์ประจำวันของโลกมีอยู่เสมอมิได้ขาด และที่เราได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ว่า
อัครมหาเสนาบดีประเทศนั้นประเทศนี้ต้องลาออกนั้นก็มักเป็นเพราะทำไม่ได้อย่างที่พูดนั้นเอง
ฉะนั้น เราจึงเห็นได้ว่าคนที่เราจะเรียกว่ามีมันสมองหรือไม่
หาใช่แต่เพียงพูดคล่องเขียนหนังสือเก่งเท่านั้น จำต้องทำการให้สำเร็จได้ตามที่พูดว่า
จะทำให้สำเร็จนั้นด้วย การติสิ่งคนอื่นทำมาแล้ว
ย่อมเป็นของง่ายกว่าที่เราจะทำเองหลายร้อยเท่าการออกความเห็นหรือแนะนำให้ใครทำอะไรนั้น
ไม่สู้ยากนัก แต่ถ้าเราจับเอามาทำเข้าจริงๆ แล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าไม่ง่ายเท่าที่เราคิด และประโยชน์ที่มนุษย์เราจะได้เป็นส่วนที่ดี
สำหรับครอบครัวหมู่คณะหรือบ้านเกิดเมืองนอนของเราก็ดี ย่อมจะได้มาจากการกระทำ
ไม่ใช่จากการพูด มีคำของ นโปเลียน ที่เราควรไม่ใจอยู่ข้อหนึ่งว่า “การที่ข้าพเจ้าวินิจฉัยคนว่าดีหรือไม่ดีนั้น
ข้าพเจ้าใช้วิธีอย่างเดียว คือดูว่าคนๆนั้นได้เคยทำอะไรมาสำเร็จบ้าง” ( Je
ne juge les homme que ses success)
อีกประการหนึ่ง คนที่มีมันสมองดีนั้น จะต้องทำการสำเร็จได้ในตัวเอง
มิใช่ด้วยเอาสิ่งอื่นเข้ามาช่วยเหลือ คนบางคนแต่งหนังสือไม่ได้
นอกจากจะรับประทานสุราให้เมาเสียก่อน กล่าวกันว่า นักปราชญ์จีนที่สามารถแต่งหนังสือได้อย่างเป็นชั้นเอกนั้น
โดยมากมักเป็นผู้สูบฝิ่น ได้อาศัยกำลังฝิ่นช่วยให้มันสมองดี
คนชนิดนี้เราจะยอมรับว่าเป็นคนสมองดีไม่ได้เลยเป็นอันขาด
เพราะถึงแม้จะทำการสำเร็จมาสักเท่าไรก็ไม่ใช่เพราะมันสมองของตนเอง
ความสำเร็จเหล่านั้นเป็นผลแห่งสุราและฝิ่น ซึ่งถ้าทุกประเทศในโลกห้ามการเสพสุราและสูบฝิ่นเสียแล้ว
คนเหล่านั้นจะต้องกลายเป็นคนขอทาน
คนที่มีมันสมองดีนั้น นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
จะต้องเป็นคนทนทานทำงานได้มาก โดยที่มันสมองไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยลงง่ายๆ คนบางคนที่คิดอะไรได้เร็วที่สุด ถูกต้องที่สุด
และทำสำเร็จได้ดีแล้ว แต่มันสมองทนไม่ได้นาน ถูกทำงานที่ยากๆ หรือคิดอะไรยากๆ
เข้าสัก 2-3 ชั่วโมงก็รู้สึกอ่อนเพลียปวดศีรษะหรือฉุนเฉียวบันดาลโทสะอะไรต่างๆ
คนที่มีมันสมองอ่อนแออยู่เช่นนี้ บางคนเป็นผู้มีความเพียรไม่ลดลงละ
เร่งกำลังมันสมองซึ่งอ่อนเพลียอยู่มากแล้วนั้นให้ทำงานยิ่งขึ้น
บางครั้งเลยเป็นผลร้ายถึงกับป่วยมีอาการหนักหรือสตวิปลาสไปก็มี
แต่คนที่ได้ชื่อว่ามันสมองดีแท้นั้นอาจทำงานยากๆ และคิดอะไรได้มากที่สุด
โดยมันสมองไม่เหน็ดเหนื่อยง่ายๆเลย
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง
9 ข้อพ่อสอนไว้ “นิสัยแห่งความดี”
ด้านต่างๆ ดังนี้
1.ความเพียร เช่น คนที่มีมันสมองดีนั้น จะต้องทำการสำเร็จได้ในตัวเอง
มิใช่ด้วยเอาสิ่งอื่นเข้ามาช่วยเหลือ คนบางคนแต่งหนังสือไม่ได้
นอกจากจะรับประทานสุราให้เมาเสียก่อน
2.ความพอดี เช่น
คนที่เราจะเรียกว่ามีมันสมองหรือไม่ หาใช่แต่เพียงพูดคล่องเขียนหนังสือเก่งเท่านั้น
จำต้องทำการให้สำเร็จได้ตามที่พูดว่า จะทำให้สำเร็จด้วย
3.ความรู้ตน เช่น
การที่คิดอะไรได้รวดเร็วก็เป็นลักษณะของมันสมองที่ดี
แต่ความคิดรวดเร็วนั้นยังไม่พอ
เพราะคนที่คิดเร็วแต่คิดผิดก็มีมาก หรือคนที่คิดเร็วและถูกด้วย แต่ความคิดเหล่านั้นก็กลายเป็นความฝัน ไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้ตามที่คิด
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ เช่น ครอบครัวหมู่คณะหรือบ้านเกิดเมืองนอนของเราก็ดี
ย่อมจะได้มาจากการกระทำ ไม่ใช่จากการพูด มีคำของ นโปเลียน
ที่เราควรไม่ใจอยู่ข้อหนึ่งว่า “การที่ข้าพเจ้าวินิจฉัยคนว่าดีหรือไม่ดีนั้น
ข้าพเจ้าใช้วิธีอย่างเดียว คือดูว่าคนๆนั้นได้เคยทำอะไรมาสำเร็จบ้าง
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เช่น
พูดหรือเขียนหนังสือได้คล่องแคล่ว แสดงความเห็นอย่างมีหลักฐาน
จนไม่มีใครสามารถคัดค้านให้พ่ายแพ้ไปได้
6.พูดจริงทำจริง เช่น ที่เราได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ว่า
อัครมหาเสนาบดีประเทศนั้นประเทศนี้ต้องลาออกนั้นก็มักเป็นเพราะทำไม่ได้อย่างที่พูดนั้นเอง
7.หนังสือเป็นออมสิน เช่น
บางครั้งความคิดของเราเดินรวดเร็วแต่งหนังสือหรือพูดจาได้คล่องแคล่ว
ซึ่งในเวลาที่แต่งหรือพูดนั้น เรารู้สึกว่าดีวิเศษและถูกต้องไปทั้งสิ้น
แต่ครั้นภายหลังเมื่อกลับมาตรึกตรองดู หรือเมื่อมีใครมาสะกิดเราเข้าแล้ว
จึงรู้สึกว่าเราผิดห้าแต้มไปเป็นอันมาก
8.ความซื่อสัตย์ เช่น
บางครั้งทำให้คนทั้งหลายเชื่อไปว่าความเห็นของท่านผู้นั้นประเสริฐสุด
ซึ่งถ้าทำตามเข้าแล้วโลกนี้ก็จะกลายเป็นเมืองสวรรค์ แต่ถึงคราวที่จะทำเข้าจริงๆ
แล้วก็หาสำเร็จไปตามนั้นไม่ ได้ ความคิดเห็นที่ว่านั้นเลยต้องถูกทิ้งลงถังขยะมูลฝอย
9.การเอาชนะใจตน เช่น คนบางคนที่คิดอะไรได้เร็วที่สุด ถูกต้องที่สุด
และทำสำเร็จได้ดีแล้ว แต่มันสมองทนไม่ได้นาน ถูกทำงานที่ยากๆ หรือคิดอะไรยากๆ เข้าสัก
2-3 ชั่วโมงก็รู้สึกอ่อนเพลียปวดศีรษะหรือฉุนเฉียวบันดาลโทสะอะไรต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น