กรรมกรข่าว สรยุทธ สุทัศนะจินดา


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
   สรยุทธ   สุทัษนะจินดา
        กรรมกรข่าว สรยุทธ   สุทัษนะจินดา / จัดทำโดย นิตยสารแพรว. - พิมพ์ครั้งที่ 27. -
  กรุงเทพฯ :อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2557
            155 หน้า : ภาพประกอบ  125 บาท 
 1.  สรยุทธ   สุทัษนะจินดา.  2. บุคคลในวงการโทรทัศน์ - - ชีวประวัติ.   I. ชื่อเรื่อง
ISBN 974-272-799-6

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลูกแม่ค้าตัวจริงเสียงจริง
มีคนบอกว่า  ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไรให้ดูที่ชีวิตวัยเด็ก 
      ผมเป็นผู้ชายเดียวในบ้าน มีพี่สาวกับน้องสาวอย่างละหนึ่งถึงจะฐานะไม่ดี  แต่แม่ไม่เคย
ปล่อยให้ลูกลำบาก  โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน  เรียกว่าเป็ดย่าง  หูฉลาม  ไม่ใช่เมนูในฝัน  ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งไปบ้านญาติแล้วเขาสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามมาเป็นกับข้าวแล้วล้อมวงกินหลายๆคน  ความที่เป็นเด็ก  ผมคิดว่าสนุกดี  แต่แม่ไม่ชอบใจเอามากๆ
      แม่ค้าเลี้ยงอย่างไร  แม่ผมเป็นแบบนั้นเลย   เวลาตีก็ตีกระเจิงด่าเสียงดัง  โมโหมากๆก็ด่าไปร้องไห้ไป  อาวุธของแม่คือไม้ขนไก่ที่ใช้ปัดฝุ่นไม่ถึงขั้นไม้กวาดหรือกระป๋องคุกกี้  ซึ่งผมไม่เคยยืนนิ่งๆให้ตีหรอกนะวิ่งสู้ฟัดหนีสุดชีวิตเลยละ  ถ้าอ่านเรื่องราวของผมต่อไป  คุณผู้อ่านคงจะอนุมานได้เองว่าผมต้องวิ่งหนีไม้ขนไก่บ่อยแค่ไหน  บางทีต้องเอาไม้ไปซ่อนบ้าง  แต่แม่ก็หาเจอทุกที
     ใครจะเชื่อว่าสรยุทธจะออกไล่ล่าหาประสบการณ์ตั้งแต่วัยเยาว์  ชีวิตช่วงนั้นน่าจะเรียกว่าบกพร่องโดยสุจริต 
      ผมพูดแทนเด็กที่ทำความผิดตอนที่ทำแบบหมักหมมได้เลยว่าจุดเริ่มต้นมันจะเล็กนิดเดียว  ถ้าได้สะสางก็ไม่มีอะไรลุกลาม  เหมือนอย่างผมที่พอได้ตอบตำถาม ได้ระบายๆอะไรหมดแล้วก็โล่งใจ  ไม่มีความรู้สึก  ไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย 
      ถ้าโดนซักถามมากๆเข้า  พอเขาถามว่าเป็นแฟนกันใช่ไหม  ผมเลยกวนกลับเข้าให้ว่า  ใช่ไม่รู้หรอกว่ามีผลกระทบอย่างไร  ในที่สุดทางโรงเรียนขอให้ผู้ปกครองมาทำเรื่องลาออกของต้นเทอมของม. 2...ซวยเลย
     วันนั้นรถวิ่งจากสามย่านบ้านอาไปโรงเรียนแถวพญาไท  ผมลงป้ายเลยจากที่ปัจจุบันเป็นมาบุญครองมาหนึ่งป้าย  จำได้ว่าเมื่อก่อนเป็นสยามกลการที่มีสโลแกนว่า เพื่อนที่แสนดีพอเท้าแตะพื้นก็ตุ้บตั้บๆ รู้สึกตัวอีกทีถูกลากขึ้นมาที่บันไดรถเมล์  เลือดอาบ  ได้ยินเสียงคนรอบๆตัวถามว่า เป็นไงๆ
     ถ้าผมเลือกเดินทางสายอื่นก็คงไม่ได้มาเป็นอย่างนี้ คือถ้าเรียนเร็วแบบหนึ่งปีจบ  วันนี้อาจซ่อมรถอยู่  ถ้าเรียนสองปีไม่แน่  อาจได้เป็นวิศวกร  พอเลือกสามปี  เวลาแห่งการเรียนจบมันยาวไกลเหลือเกิน  ไม่ต้องเร่งรัดตัวเองมาก  ชีวิตก็เป็นไปอีกอย่าง
นกน้อยในไร่ส้ม
สมัยนี้ ถ้าถามเรื่องแผนชีวิต เด็กบางคนอาจเล่าได้ เป็นฉากๆ ทั้งเรื่องความใฝ่ฝันและแผนการเรียนให้ส่งเสริมสอดคล้องกัน แต่ผมไม่มีทั้งสองอย่าง 
      ผมเป็นเด็กที่ไม่มีความใฝ่ฝันประเภทอยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน เคยแต่ซื้อกระบอกตั๋วรถเมล์มาเล่นเป็นคนเก็บตั๋ว ถ้าจับตัวมาถามแบบคาดคั้นจริงๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรก็คงตอบว่า ถ้าไม่ขายของเหมือนแม่ อาจเป็นวิศวะเหมือนอา
อุดมการณ์-อีโก้
พูดถึงคำสองคำนี้ คนส่วนมากจะยอมรับแค่คำแรก ส่วนคำหลังมักจะถูกปัดว่าไม่จริ๊ง ฉันไม่มี ทั้งที่ผมไม่เห็นแปลกถ้าใครจะมีอีโก้พอๆกับอุดมการณ์ ถ้ามีแล้วรู้ตัวหรือจัดการกับมันได้
       ผมเชื่อว่าทุกคนมีอุดมการณ์ แต่เมื่อเติบโตขึ้นมาผมเห็นว่าอิสระหรือเสรีภาพสำคัญน้อยกว่าความรับผิดชอบ ตอนเป็นเด็กจะคิดแต่เรื่องอิสระที่จะคิด จะเขียน แต่เมื่อได้เรียนรู้จากดประสบการณ์ ก็คิดว่าเราต้องมีความรับผิดชอบเป็นอันดับหนึ่ง
     
  

สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง ข้อพ่อสอนไว้ “นิสัยแห่งความดี” ด้านต่างๆ  ดังนี้

1.ความเพียร เช่น การหมั่นไขว่ขว้าหาความรู้ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2.ความพอดี เช่น ผมเป็นลูกแม่ค้า แม่สอนผมว่า ควรใช้และกินเท่าที่มี อย่าฟุ่มเฟือย รู้จักการประหยัดอดออม
3.ความรู้ตน เช่น ผมเห็นว่าอิสระหรือเสรีภาพสำคัญน้อยกว่าความรับผิดชอบ ตอนเป็นเด็กจะคิดแต่เรื่องอิสระที่จะคิด จะเขียน แต่เมื่อได้เรียนรู้จากดประสบการณ์ ก็คิดว่าเราต้องมีความรับผิดชอบเป็นอันดับหนึ่ง
4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ เช่น แม่เป็นคนให้กำเนิดผมมา ผมก็ต้องทำงานหาเงินเพื่อเอามาเลี้ยงดูแม่ ไม่ให้แม่ลำบาก
5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เช่น เมื่อถึงตอนตกยากลำบากเราก็ต้องให้กำลังใจคนรอบข้าง ต้องอดทนเข้มแข็งเพื่อวันข้างหน้า
6.พูดจริงทำจริง เช่น ผมเป็นคนที่พูดแล้วไม่คืนคำครับ เหมือนในเวลาที่ให้สัญญากับเพื่อนไว้แล้วก็ต้องทำตามสัญญาครับ
7.หนังสือเป็นออมสิน เช่น ผมเป็นคนที่ชอบหาความรู้ คือเดินไปเจออะไรที่เป็นตัวหนังสือหรือว่าอะไรที่ผมสามารถเอามาใช้เป็นความรู้ได้ผมก็จะอ่านและจำมันครับ
8.ความซื่อสัตย์ เช่น แม่สอนผมว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพราะจะทำให้ผมนั้นเป็นคนดี
9.การเอาชนะใจตน เช่น อาวุธของแม่คือไม้ขนไก่ที่ใช้ปัดฝุ่นไม่ถึงขั้นไม้กวาดหรือกระป๋องคุกกี้  ซึ่งผมไม่เคยยืนนิ่งๆให้ตีหรอกนะวิ่งสู้ฟัดหนีสุดชีวิตเลย จริงๆผมก็อยากให้แม่ลงโทษที่ผมทำผิดแต่ว่าผมกลัวเจ็บก็เลยหนี






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น